ตำนานต้นโลก
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอีก ๒๔๕๐ ปี อายุขัยมนุษย์จะยืนยาวอย่างมากไม่เกิน ๒๐ ปี และอีกกว่าล้านปีหลังจากนั้นก็จะไม่มีคนบุญมาจุติบนโลกนี้อีกกาลนั้นเรียกว่าพุทธันดร
เหตุการณ์ก่อนพุทธันดรและกาลยุคนั้นจะเป็นอย่างไร
อารัมภบท๖
ยุคกาลพุทธันดร๗
ยุคศิวิไลย์๑๑
ยุคมิคสัญญี๑๖
ตำนานต้นโลกต้นคนต้นไทย๑๘
มนุษย์ยุคชาดก๒๔
ยุคโพธิสัตว์๒๕
พระโพธิสัตว์กลุ่มแรกพวกพ่อมดหมอผี๒๘
พระโพธิสัตว์กลุ่มที่ 2 นักพรตและนักบุญ๒๙
พระโพธิสัตว์กลุ่มที่ 3 นักบวช ฤาษี ชีไพร๓๑
ยุคกาลศาสนาพระเจ้ากกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า๓๒
ยุคศิวิไลย์พุทธกาลที่ ๑ ๓๘
ยุคมิคสัญญี๔๐
พุทธธันดร ๒๔๓
ยุค แถน (ปู่แถน ย่าแถน)
น้ำท่วมโลก
ยุคพระพุทธโคนาคมโน
พุทธันดรที่ ๔ ๔๙
ยุคแผน (ขุนแผน –ย่าใจ)๕๐
ยุคศาสนาของพระเจ้ากัสสโป๕๒
ยุคศิวิไลย์และยุคมิคสัญญี๕๓
พุทธันดรที่ ๔๕๗
ยุคแมน(พ่อแมน –ขุนอิน)๕๘
ธรรมชาติวิทยา๖๐
ตำนานต้นคนสุวรรณภูมิ๖๓
ลายสือไทยอักษรขอม๖๕
ดาศาสตร์โบราณของไทย๖๗
คนจีนตำนานไทย๖๘
ชมพูทวีปก่อนพุทธกาล๗๐
ต้นคนในทวีปอเมริกาและออสเตรเลีย๗๒
ศาสนาพระโคตโมพุทธเจ้า๗๔
สุวรรณภูมิสมัยพุทธกาล๗๗
รอยพระพุทธบาท๗๘
ประวัติศาสตร์อารยธรรมโบราณ๘๐
ชมพูทวีปหลังพุทธกาล๘๓
สุวรรณภูมิหลังพุทธกาล๘๕
ประวัติศาสตร์อารยชน๘๗
ยุคล่าอาณานิคม๙๑
ลัทธิคลั่งศาสนา๙๔
อารยธรรมยุคใหม่๙๗
ดินแดนพุทธภูมิ๑๐๒
กาลยุคแม่กาขาวชาวศิวิไลย์๑๐๖
อารัมภบท
“ นี่เขาสอนบิดเบือนคนไทยมานานแล้วทั้งสองด้าน คือผืนแผ่นดินที่ทำกินและความเชื่อเรื่องการนับถือศาสนา เขาทำกันมาตั้งแต่สมัยปีพ.ศ.2400แล้วเพื่อเข้ามายึดครองดินแดนนี้ได้อย่างง่ายดายถ้าทำให้คนไทยมีความรู้สึกว่าตนเองพึ่งอพยพเข้ามาสู่ดินแดนแห่งนี้พร้อมทั้งให้มีความรู้สึกว่าสยามประเทศนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยเสด็จมาประกาศพระศาสนาด้วยนี่เขาทำลายความเชื่อถือทั้งด้านประวัติศาสาตร์ และพุทธศาสตร์ ควบคู่ไปด้วยกัน
ฉะนั้นต่อไปนี้พวกเราคนไทยทุกคน จะต้องเข้าใจเสียใหม่ตามที่คนไทยสมัยโบราณจารึกเรื่องราวเอาไว้ ไม่ใช่ไปเชื่อคนต่างด้าวท้าวต่างแดนสอนกันเช่นในอดีต แม้แต่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยในปัจจุบันนี้ก็ไม่สามารถจะนำเอามาให้เรียนกันได้เหมือนเดิม นั่นเพราะคนไทยส่วนใหญ่รู้ความจริงกันแล้วทั้งสิ้นว่า เราเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้มานานนั่นเองจึงขอให้ทุกท่านที่อ่านแล้วจงรักษาแผ่นดินทองหรือ “สุวรรณภูมิ”นี้เพื่อไว้เป็นประดิษฐ์ฐานพระพุทธศาสนา ให้ตั้งมั่นยั่งยืนและถาวรตลอดกาลนานสิ้นอายุพระพุทธศาสนาเทอญ
(พระชัยวัฒน์ อริโต วัดจันทาราม อุทัยธานี จารึกไว้เป็นคำนิยมในหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย)
เป็นบทความของท่านที่สะท้อนถึงความรู้สึกที่อยากจะบอกให้คนไทยรู้ว่าวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ร่ำเรียนกันมาจากตำรานั้นไม่ถูกต้องอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอกว่าเราคนไทยทั้งหมดนั้นเป็นพวกเร่ร่อนอพยพไม่มีถิ่นฐานแน่นอน และนอกจากนี้ยังขยายไปถึงต้นกำเนิดของมนุษย์กลุ่มแรกของโลกและวิวัฒนการของเผ่าพันธุ์ว่ามาจากลิงยิ่งขัดแย้งกันหนัก แม้ข้อสรุปของนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ที่เพียงเพียรพยายามสัมนาเพื่อหาข้อยุติ แต่ไม่สำเร็จ เพราะต่างก็มีข้อมูล และผลวิจัยค้นคว้าเกิดขึ้นใหม่และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้บางทฤษฏีที่เคยเชื่อกันมาเกิดมีข้อโต้แย้งขัดกันจากหลักฐานพยานที่พึ่งจะพบ จนกระทั่งพากันสรุปได้แต่เพียงว่ายังไม่สมบูรณ์ถูกต้องเพียงพอ ยังต้องรอการค้นพบและพิสูจน์หลักฐานกันต่อไปอีก
การเปลี่ยนแปลงความเชื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญและเป็นอันตรายอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อที่ถูกปลุกฝังกันมาหลายช่วงอายุคน จะเกิดขึ้นต้องรอให้พร้อมกันทั้งระบบ เวลาใดที่เหมาะสมสำหรับจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นยากเกินกว่าการคาดเดาของผู้ใด
เหตุการณ์สำคัญของความเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า เมื่อสังคมถูกพัฒนามาถึงระดับหนึ่งมีความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขจะเกิดความแตกแยกทางความคิด และมีกลุ่มขบวนการต่าง ๆ เคลื่อนไหวหาทางออกตามแนวทางทฤษฎีของตนมีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือถึงแม้กลุ่มทั้งหลายจะแตกต่างกันแต่ที่สำคัญคือมีเป้าหมายยึดอำนาจการปกครองให้ได้ก่อน เป็นขั้นตอนที่เหมือนกันเสมอ ดังนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของกลุ่มนักเคลื่อนไหวสร้างขึ้นมามักจะเหนือความคาดหมายและบานปลายและผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของกลุ่มใดๆความพยายามใด ๆ จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมแบบถอนรากถอนโคนจำเป็นต้องรู้จักการรอคอยมิฉะนั้นอาจต้องจบลงเหมือนคนแรกที่บอกว่าโลกกลม ถูกนำไปฆ่าโดยเผาทั้งเป็นในข้อหาขัดแย้งกับหลักศาสนาแสดงความดูหมิ่นไม่ศรัทธาในพระเจ้าที่พวกนักบวชยัดเยียดให้เพื่อแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และปกป้ององค์กร
คำนิยมของพระชัยวัฒน์อธิโตแห่งวัดจันทารามจังหวัดอุทัยธานีในก่อนย่อหน้าสุดท้ายในหนังสือ“พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถาตำนานเมืองขุนไทย”เป็นมูลเหตุจูงใจให้ข้าฯได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการสนับสนุนและสืบสานความพยายามที่จะทำให้คนไทยรู้จักคนไทยและพระพุทธประวัติที่ถูกปรุงแต่งตัดทอนเป็นหลักสูตรให้ร่ำเรียนในสถาบันการศึกษาให้ท่องอ่านในห้องเรียนซึ่งในที่สุดแม้แต่ผู้แต่งตำราเองกลับปฏิเสธการมีอยู่ของพระพุทธเจ้าจริงๆเสียเองความตั้งใจของพระราชกวี หรือเจ้าคุณอ่ำธมฺมทตฺโต ที่ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจ กำลังทรัพย์กำลังปัญญาเพื่อจะบอกในสิ่งที่ท่านพบ และให้เก็บรักษาวัตถุพยานที่เป็นกระเบื้องจารไว้ทำการศึกษาค้นคว้าต่อไปในเวลานั้นท่านเองก็ถูกต่อต้านจากผู้มีอำนาจในสังคมเพราะความไม่รู้ข้อเท็จจริงงและหลงลาภที่ต่างชาติเขาปรนเปรอเลี้ยงไว้และพยายามให้พวกเราชาวสุวรรณภูมิทั้งหมดเข้าใจคลาดเคลื่อน ทำให้ดูถูกกันเองด้วยการแต่งเติมบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยที่คนเขียนไม่เคยได้ศึกษาหรือเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นไม่เข้าใจรากฐานความคิดของคนในภูมิภาคที่มาจากอิทธิพลของศาสนาพุธด้วยกันเมื่อไม่เข้าใจศาสนาก็ไม่มีทางจะเข้าถึงอดีตของคนชาวสุวรรณภูมิได้เลย เพราะทั้งหมดผูกพันธ์กับพุทธศาสนามาตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นเวลาหมื่นๆปีแล้วไม่ใช่เป็นพันปีอย่างที่เขียนไว้ในตำรากัน พวกเขาชาวตะวันตกมีสมมุติฐานและทฤษฎีเป็นไปตามหลักวิชาการมีมาตรฐานแต่ในฐานะของผู้ที่มองคนชาติอื่นต่ำกว่าและยังมีเป้าหมายผลประโยชน์ซ่อนเร้นแอบแฝง นอกจากจะไม่ถูกต้องโดยหลักการแล้วยังมีอคติแบบปุถุชนเคลือบปนอยู่ด้วยเพียงเหตุผลเดียวก็ลบล้างข้อสันนิษฐานทางทฤษฏีลงได้เกือบหมด
ข้าฯ เริ่มไม่เชื่อในตำราวิชาประวัติศาสตร์ ทั้งความไม่ชัดเจนและวิธีการมาให้เรียนรู้ นอกจากจะเป็นการยัดเยียดแล้วยังขาดรายละเอียดทั้งเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการสร้างโบราณวัตถุที่นำมาอ้างอิงประกอบเพียงแต่นำเอกสารบันทึกโบราณของนักเขียนบนเรือสินค้าสัญชาติจีนและอินเดียมาวัดเทียบเคียงซึ่งไม่น่าจะเพียงพอที่ให้ท่องจำกัน
ไม่เคยพบหรือเคยได้ยินว่านักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์ของคนในภูมิภาคทุ่มทุนและเวลาศึกษามาค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจัง อย่างเช่นที่เรียกกันว่าผู้เชี่ยวชาญของชาวตะวันตก
มารู้เอาทีหลังว่าวัตถุโบราณที่สำคัญๆทั้งหลายถูกกว้านซื้อไปหมดแล้วก่อนจะตั้งกรมศิลปกรขึ้นมาที่เหลืออยู่เป็นการทำเลียนแบบไม่สามารถนำมาประกอบอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการและที่สำคัญคนไทยและผู้นำรัฐบาลที่ผ่านมาต่างตกเป็นทาสทางวิชาการ ไม่รู้คุณค่าโบราณวัตถุซ้ำร้ายยังมีส่วนในการลักลอบนำไปขายเสียเองอีกเมื่อวัตถุพยานอ้างอิงอยู่ต่างประเทศกันหมดจึงไม่มีสิ่งใดให้ศึกษาแม้จะมีความพยายามรื้อฟื้นขึ้นมาก็ทำไม่ได้เนื่องจากไม่สมบูรณ์ถูกต้องตามหลักวิชาการและเกิดไม่เชื่ออย่างจริงจังที่สุดโดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ที่มีอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองเกี่ยวข้องกับการบันทึกไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ ก็ตาม
ข้าฯ เชื่อในสิ่งที่พระราชกวี หรือเจ้าคุณอ่ำ ธมฺมตฺโต ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจ ตรากตรำอ่านคำจารึกแผ่นกระเบื้องจารและรวบรวมเรียบเรียงและที่สำคัญได้เปรียบเทียบกับตำราทางวิชาการ เพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาด้วยปัญญาและวินิจฉัยเอาเองอย่างเปิดกว้าง ไม่ใช่อ้างขึ้นมาเพียงด้านเดียว ขอยืนยันเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงความจริง ซึ่งก่อนหน้าจะได้อ่านหนังสือของท่านก็มีความเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นก่อนที่จะอ่านจบเสียอีก
งานค้นคว้าของเจ้าคุณท่านเจาะลงลึกในรายละเอียด(เข้าใจว่าน้อยคนจะอ่านจบ สังเกตุได้ แม้จะพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว ยังมีคำผิดอยู่มากและการเว้นวรรคก็ผิด ซึ่งทำให้อ่านเข้าใจยากมากขึ้น)เป็นความรู้ความสามารถพิเศษส่วนตัวโดยเฉพาะอาจจะเรียกได้ว่าท่านเกิดมาทำหน้าที่นี้โดยตรง จึงยากที่จะหานักวิชาการผู้ใดกล้าแสดงความเห็นเชิงสนับสนุนและวิจารณ์ หรือแม้จะเห็นคัดค้านก็ไม่สามารถจะหาข้อมูลใดมาอธิบายอ้างอิงโต้แย้งว่าสิ่งที่ท่านกล่าวมาไม่ถูกต้องอย่างไรเพราะเป็นองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนาที่สามารถรู้ได้เฉพาะผู้ฝึกจนสำเร็จได้ ระดับหนึ่งเพียงเท่านั้น กับที่เป็นเรื่องราวในหนังสือพระไตรปิฏก ท่านอธิบายลงลึกในพุทธประวัติที่ค้นพบเอง ซึ่งไม่มีพุทธศาสนิกชนผู้ใดกล้าบิดเบือน หรือแม้แต่คิดเนื่องด้วยเกรงกลัวต่อบาปและโทษมหันต์ในการนำเสนอในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงสู่สาธารณะ ศาสนิกชนทุกคนเมื่อปฏิบัติธรรมแล้วจะยอมรับว่านรกและสวรรค์นั้นมีจริง การสอนและการพูดในสิ่งที่ตนยังไม่รู้จริง พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสห้ามเด็ดขาด
เพียงเหตุผลเดียวเท่านี้ก็สามารถยืนยันเจตนาอันบริสุทธิ์ของท่าน และไม่มีเหตุจูงใจใดๆที่ท่านต้องการ จากการทุ่มเทตรากตรำศึกษาค้นคว้างานนี้ นอกจากจะเสี่ยงต่อความผิดอาจจะต้องเสวยผลในนรกแล้ว ยังต้องถูกประนามและต่อต้านจากสังคมที่ไม่เข้าใจ เพราะยังไม่พร้อมอาจ จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อความเชื่อ ซึ่งจะนำมาซึ่งความขัดแย้งตามมาเกี่ยวเนื่องกันทั้งระบบไม่เฉพาะแต่ในสังคมไทยเท่านั้นยังส่งผลต่อทางสากลอีกด้วย
ข้าฯ มองเห็นความแตกต่างของภาษาที่ใช้เป็นสื่อในการทำความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกันซึ่งใช้พูดกันปัจจุบันนับได้เป็นหมื่น แต่สามารถจัดหมวดหมู่ได้เพียง 2 ภาษาเท่านั้นคือ ภาษาของโลกมนุษย์และภาษาธรรมของจิตวิญญาณ ซึ่งคนทั่วไปไม่เข้าใจจึงมักนำมาสื่อสารกันผิด ๆ โดยเฉพาะจะอธิบายโลกของจิตวิญญาณด้วยภาษาของโลกมนุษย์ ยิ่งอธิบายมากเท่าใดความแตกแยกก็ยิ่งมีมากเท่านั้น เช่น การเกิดนิกาย เกิดลัทธิในศาสนาต่าง ๆ นั่นก็เพราะการนำเอาภาษาโลกมาอธิบายธรรมของคนที่เข้าใจธรรมอันจำกัด เข้าไม่ถึงไม่รู้เรื่องภพของวิญญาณจริงสุดท้ายนำไปสู่การทำร้ายกันเพราะความคิดที่เริ่มต้นมาจากการใช้สื่อที่ไม่ถูกต้อง
จิตเป็นนามธรรมพิสูจน์ไม่ได้เหมือนกับวิญญาณว่ามีอยู่จริงหรือไม่จึงมักถูกเรียกว่า จิตวิญญาณ ซึ่งรวมไปถึงบรรดาสิ่งที่ไม่มีตัวตนทั้งหลายไม่ว่าจะเรียกว่าผีเทวดา หรือ พระเจ้าก็ตาม มนุษย์ในโลกนี้ทุกเผ่าทุกชนชาติยอมรับว่ามีอยู่แต่อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ตราบจนกระทั่งพระศาสดาอุบัติขึ้นมาให้คำนิยาม แต่กระนั้นผู้คนที่เข้าไม่ถึงธรรมคำสอนต่างก็ไม่ยอมรับอีก สาเหตุที่แท้จริงไม่ได้เป็นการปฏิเสธการมีอยู่ แต่เนื่องด้วยต้องการพิสูจน์รู้และสัมผัสได้ด้วยวิธีการที่ต่างออกไปและยังพยายามจะบัญญัติคำศัพท์ขึ้นมาอีกจึงยิ่งพากันเข้าใจผิดกันมากเพิ่มขึ้น
เพราะว่าโลกที่ผู้คนอาศัยอยู่เพียงระยะเวลาหนึ่งนี้ พวกเรามนุษย์ทั้งหมดช่วยกันสมมุติขึ้นมาเรียกโดยหาเครื่องหมายมาแทนคำพูดเป็นสื่อที่เห็นได้ด้วยสายตา มาทำความเข้าใจ แล้วก็สมมุติกันขึ้นมามันจึงเป็นสมมุติซ้อนสมมุติอีกที
ภาษาของมนุษย์ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ถูกสมมุติจึงไม่สามารถทำความเข้าใจหรืออธิบายเรื่องของจิตวิญญาณที่สัมผัสไม่ได้หรือมองไม่เห็น
ดังนั้นภาษาของโลกแม้จะเป็นสากลหรือดิจิตอลแล้วก็ตามจะอธิบายเพียงเรื่องของโลกที่มองเห็นเท่านั้น แต่ก็ยังอธิบายเรื่องของจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ เช่นกัน เพราะเรื่องของสิ่งเหล่านี้มีภาษาเฉพาะอยู่แล้วคือภาษาธรรมความสามารถของมนุษย์สูงสุดมองได้สองด้านแต่ธรรมไม่มีด้านไม่มีมุมไม่เป็นเส้นตรง ไม่กลมและก็ไม่แบน สรุปได้ว่าไม่เป็นอะไรทั้งนั้นหรือไม่มีตัวและไม่เป็นตน แต่ก็มีอยู่อย่างนี้
เรื่องต่อไปนี้ข้าฯ จะเล่าเรียงเรื่องสิ่งเหล่านี้ ทำใจให้เปิดกว้างยอมฟังก่อนรับหรือไม่รับเป็นอีกเรื่องหนึ่งคิดว่าเป็นการนอนแล้วฝันไปตื่นขึ้นมาจำได้บ้างจำไม่ได้บ้างเผื่อบางทีอาจจะได้นำไปอธิบายต่อเมื่อตายไปแล้วเป็นสมมุติจากเรื่องจริงหรือเรื่องจริงที่สมมุติแล้วแต่จะเรียกแต่ที่แน่นอนภาษาที่เขียนก็เป็นสมมุติแล้ว
.......................................................................................................................
อนาคตข้างหน้า ถึงแม้ผู้คนทั่วไปจะบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ความเป็นจริงนั้นมันแน่นอน จะเป็นไปอย่างที่มันเคยเป็นเพียงแต่มนุษย์ยอมเปิดใจรับรู้ การเปลี่ยนแปลงของโลกมันเหมือนวงโคจรที่เป็นวงกลม
ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ามนุษย์ในปัจจุบันกำลังเย่อหยิ่งอวดฉลาด ดูหมิ่นบรรพบุรษว่าโง่เขลา ไม่มีความรู้เท่าเทียมกับปัจจุบัน ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นโดยเด็ดขาด พวกเรากำลังเพลิดเพลินกับวิชาการและเทคโนโลยีที่คิดว่าพัฒนามาได้สูงสุดแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าในอดีตคนอย่างพวกเราในปัจจุบันนี้มีวิทยาการที่สูงกว่านี้มาก พวกเขาวิวัฒนาการดัดแปลงโลก เล่นแร่แปรธาตุมาสังเวยความต้องการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน จนวัตถุดิบที่อยู่ผิวโลกและลึกลงไปใต้ดินไปไม่เพียงพอต่อความต้องการ และเกิดมลภาวะจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่ทำขึ้นมาเพราะความจำเป็นในการดำรงอยู่เพื่อให้เพียงพอทั่วถึงกัน ซึ่งในที่สุดโลกก็เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเองโดยธรรมชาติ มนุษย์เป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดขึ้นโดยตรงที่พากันดัดแปลงธรรมชาติจากทรัพยากรที่มี และความคิดอยากพิสูจน์ความจริง ไม่เชื่อในคำสั่งสอนของพระศาสดาจึงนำไปสู่หายนะ มนุษย์ทั้งโลกเกือบสูญพันธุ์กันหมดหลงเหลืออยู่พอเป็นเชื้อแถวแนวพันธุ์ในดินแดนที่ห่างไกลความเจริญที่ยังมีธรรมชาติหลงเหลืออยู่เช่น ป่าไม้ ภูเขา และถ้ำ ให้ได้อาศัยหลบภัยจากความแปรปรวนของธรรมชาติ พวกที่รอดตายคือบรรพบุรุษของพวกเราในปัจจุบัน และพวกเราในปัจจุบันกันเกือบทุกคนก็เคยเป็นมนุษย์เถื่อนคนป่ามาก่อน ต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เช่นนี้ 3 รอบแล้ว แต่ละรอบระยะห่างกันเป็นเวลามากกว่าร้อยล้านปีขึ้นไป จนถึงพันปี แผ่นดินผิวโลกจะสูงขึ้นหรือหนาขึ้นจากเดิมยุคละ 8 ก.ม จากยุคเริ่มต้น ปัจจุบันมีความหนาเพิ่มขึ้น 24 ก.มแล้ว
พุทธันดรถูกสมมุตเรียกขึ้นมา เป็นช่วงระยะกาลก่อนที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะขณะเกิดการปรับตัวพื้นผิวเปลือกโลกสำหรับสรรพสัตว์เป็นที่อยู่อาศัยจะมีมวลสารแร่ธาตุ ดินทรายจากชั้นใต้ดินถัดลงไปถูกแรงดันขึ้นมาและทับถมเอาบรรดาซากสรรพชีวิตทั้งหลายและสิ่งปลูกสร้างจมหายไปจนแปรสภาพเป็น หิน ถ่านหิน น้ำมันก๊าซและแร่ธรรมชาติต่าง ๆ ในเวลาต่อมา ความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่รอดตายหลังจากเหตุการณ์นี้จะเหมือนเริ่มต้นใหม่ มีสภาพไม่แตกต่างจากสัตว์ทั่วไป แม้ก่อนหน้านั้นก็ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก แต่ก็ยังระลึกถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ ถึงจะไม่มีสังคมหรือเป็นชุมชนก็อยู่กันเป็นกลุ่มอยู่เหมือนเดิมพวกเขา มีอายุสั้นเฉลี่ยไม่เกิน 20 ปี อย่างมาก แต่ไม่เคยแก่ตาย ไม่ถูกฆ่าตายเป็นอาหารของสัตว์หรือคนด้วยกันก็จะป่วยเป็นโรคตายเป็นอยู่เช่นนี้นับเป็นล้าน ๆ ปี
แต่หลังจากรอดตายจากการแปรปรวนของธรรมชาติจากการปรับตัวเองของโลกและจนกระทั่งเป็นชุมชนมีสังคมเกิดขึ้นสร้างระเบียบกฏเกณฑ์มีภาษาประเพณีเป็นของเผ่าประจำชนชาติ เหล่าบรรดานักบุญพวกพระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างมาลงมาสืบสานเล่าขานตำนานเทพเทวดาและบรรพบุรุษให้ผู้คนของแต่ละเผ่ารับรู้และยอมรับเกิดเป็นเจ้าสำนักลิทธิและผู้นำจิตวิญญาณต่าง ๆ มากมายจึงจะหมดยุคพุทธันดร อายุของมนุษย์เริ่มจะยืดยาวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่มีกำหนด เพราะมีพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สะอาดอุดมสมบูรณ์เป็นธรรมชาติให้ทั้งพวกมนุษย์และบรรดาสัตว์ต่าง ๆ พากันกินอย่างเพลิดเพลินไม่นับวันไม่มีเดือนและปี ที่เรียกกันว่า อสงค์ไข คือนับวันเวลาไม่ได้ ความเป็นอยู่สุขสบายเช่นนี้เองทำให้มนุษย์เริ่มพากันประมาทและประพฤติผิดศีลธรรมขึ้นมาอีก นับแต่นั้นมาอายุของพวกเขาเริ่มหดสั้นลงมาเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงจำนวนหลักหมื่นเท่านั้น
มนุษย์จะรู้จักศาสนาหลังจากที่กลุ่มพวกพระโพธิสัตว์ได้พากันลงมาปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมอย่างหยาบ ๆพวกเขาจะมาเกิดเป็นคนที่มีความพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปและแทรกปนอยู่ในสังคมขอบทุกชนชาติทั่วโลกคุณวิเศษนี้สามารถสัมผัสรู้ได้ถึงพลังงานอันละเอียดของจิตสำหรับบางคนถึงกับสื่อสารกันได้รู้เรื่องพวกเขาจึงถูกเรียกเป็นคำเฉพาะและได้รับการเชิดชูบูชาของคนในสังคมนั้น ๆซึ่งแท้ที่จรงิแล้วบุคคลทั้งหมดที่กล่าวมาคือ เหล่าบรรดาพวกพระโพธิสัตว์ระดับชั้นต่าง ๆลงมาทำงานสร้างบารมีของแต่ละตนอันเป็นหน้าที่เฉพาะของพวกเขาโดยตรงในการให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิญญาณและการมีอยู่ของภพชาติหลังจากความตายแต่พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างละเอียดชัดเจนเพราะบารมีไม่เพียงพอยังต้องหม่ำบำเพ็ญอีกมาก
ในกาลยุคของโลกเราปัจจุบันเป็นกัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าลงมาโปรดสัตว์โลกถึง5 พระองค์และที่ผ่านมาได้มีพระพุทธองค์ทรงเสด็จลงมาอธิบายธรรมอันละเอียดมีผู้คนซึ่งบารมีเต็มบรรลุธรรมมีจิตเห็นซึ่งนิพพานได้เสด็จตามพระพุทธเข้าไปแล้วถึง 4พระองค์จึงยังเหลือเพียงองค์สุดท้ายที่จะอุบัติบนโลกคือพระศรีอารยเมตไตย์ซึ่งพระองค์ท่านจะมารับผู้คนชุดสุดท้ายกลับไปยังนิพพานสวรรค์ชั้นสูงสุดที่สุดท้ายของเหล่ามนุษย์ต้องไปกันหมดทุกชีวิตเพียงแต่จะเมื่อไหร่เท่านั้น
กาลก่อนที่จะมาถึงยุคพุทธันดรมนุษย์จะต้องผ่านสังคมยุคต่าง ๆ ดังนี้
<>1.2.3.ยุคมิคสัญญี
- นักรบธรรม's blog
- 4873 reads
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น